ทำเลที่ตั้งและการวางผังสถานประกอบการ

หน่วยที่ 2 ทำเลที่ตั้ง และการวางผังสถานประกอบการ

Outline

1. ทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
    1.1. ความหมยและความสำคัญของทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
    1.2. การตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
    1.3. ปัจจัยในการเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
    1.4. เทคนิคการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
2. การวางผังสถานประกอบการ
    2.1. แนวคิดเกี่ยวกับการวางผังสถานประกอบการ
    2.2. การวางผังสถานประกอบการแบบพื้นฐาน
    2.3. การวางผังสถานประกอบการแบบผสมผสาน
    2.4. เทคนิคการวางผังสถานประกอบการ
__________________________________________________

Content

1. ทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ

    1.1. ความหมยและความสำคัญของทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ

ความหมายของทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
ทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ คือ สถานที่ หรือพื้นที่ที่ตั้งสถานประกอบการที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการของกิจการ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ ต้นทุน การส่งมอบ ความปลอดภัย และขวัญกำลังใจพนักงาน

ความสำคัญของทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
การเลือกทำเลที่ตั้งอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ความต้องการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย (การขยายกิจการ)
2. ความต้องการเพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากอุปสงค์ของลูกค้าขยายตัว (การเพิ่มหรือลดระดับการผลิต)
3. เกิดการเปลี่ยนแปลงของแหล่งวัตถุดิบ (การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรการผลิต)
4. กลุ่มลูกค้าในพื้นที่เดิมเปลี่ยนแปลงไป (ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป)
5. ต้นทุนทำเลที่ตั้งใหม่ต่ำกว่าทำเลที่ตั้งเดิม (ต้นทุนของทำเลที่ตั้งเปลี่ยนแปลงไป)

การเลือกทำเลที่ตั้งมีผลต่อการตัดสินใจในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. การจัดการการผลิต และการดำเนินงาน
    1.1. ผลต่อการวางแผนการผลิต 
           ทำเลที่ตั้งที่มีพื้นที่จำกัด ก็จะเป็นการจำกัดกำลังการผลิตไปด้วย
    1.2. ผลต่อการวางผังสถานประกอบการ
           ทำเลที่ตั้งมีผลต่อการออกแบบตัวอาคาร และตัวอาคารก็จะมีผลต่อการจัดวางเครื่องจักรอุปกรณ์ภายในต่อกันไปเป็นทอดๆ
    1.3. ผลต่อการจัดโครงสร้างองค์การ
           การมีทำเลที่ตั้งหลายแห่งที่ห่างไกลกันทำให้มีความจำเป็นในการจัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนการผลิต และการจัดการประสานงานแยกกันไปในแต่ละโรงงาน
    1.4. ผลต่อการจัดการวัสดุคงคลัง
           ทำเลที่ตั้งที่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบจะทำให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ทำเลที่ตั้งจึงมีผลต่อการประมาณการสำรองสินค้าคงคลัง การกำหนดช่วงเวลานำของการขนส่ง
    1.5. ผลต่อการวางแผนและควบคุมการผลิต
           ทำเลที่ตั้งที่เป็นย่านสินค้าประเภทเดียวกัน ทำให้กิจการสามารถพยากรณ์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง เป็นผลทำให้มีข้อมูลในการใช้พยากรณ์การผลิตได้อย่างถูกต้องด้วย
    1.6. ผลต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
           การดำเนินงานต่อต้องอาศัยแรงงานคน หากมีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับภูมิลำเนาของแรงงาน ก็จะทำให้ไม่มีปัญหาด้านแรงงาน
2. ต้นทุนดำเนินงานและการลงทุน
    ทำเลที่ตั้งบางแห่งมีต้นทุนในการลงทุนสูง แต่ต้นทุนการดำเนินงานต่ำ บางแห่งต้นทุนการลงทุนต่ำแต่ต้นทุนการดำเนินงานสูง ดังนั้นจึงควรพิจารณาทำเลที่ตั้งที่มีต้นทุนที่เหมาะสม ต้นทุนที่ได้รับอิทธิพบจากทำเลที่ตั้ง แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
    2.1. ต้นทุนการผลิต เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนแรงงาน
    2.2. ต้นทุนการลงทุน เช่น ค่าที่ดินและปรับปรุงที่ดิน ค่าก่อสร้างอาคาร
    2.3. ต้นทุนอื่นๆ เช่น ค่าขนส่ง ค่าภาษี ค่าเชื้อเพลิง
3. รายได้และความสามารถในการแข่งขัน
    ทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้ลูกค้า และลูกค้าไปมาได้สะดวก จะส่งผลต่อรายได้ของกิจการ และการแข่งขันกับกิจการอื่นๆ

    1.2. การตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ

1. สาเหตุในการเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ (เคยกล่าวถึงในข้อ 1.1 มาแล้ว)
    1.1. การเพิ่มหรือลดระดับการผลิต
    1.2. ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป
    1.3. การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรการผลิต
           1) แรงงาน
           2) เครื่องจักร
           3) วัตถุดิบ
           4) เงินทุน
           5) ที่ดิน
    1.4. การขยายกิจการ
    1.5. การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เปลี่ยนเป็นต้นทุนรวมของทำเลที่ตั้งเปลี่ยนแปลงไป เพราะการออกผลิตภัณฑ์ใหม่น่าจะไปเข้าข่ายของการขยายกิจการมากกว่า (ความเห็นของผู้ทำสรุป)
2. ลักษณะของปัจจัยที่ใช้เลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
    ปัจจัยที่ใช้เลือกทำเลที่ตั้งแบ่งเป็น
    2.1. ปัจจัยด้านต้นทุน เช่น ที่ดิน วัตถุดิบ แรงงาน การขนส่ง
    2.2. ปัจจัยด้านตลาด เช่น ความรวดเร็วในการส่งมอบ การเข้าถึงได้สะดวก ความสวยงาม
    2.3. ปัจจัยที่ไม่ใช่ด้านต้นทุน เช่น เรื่องของคน ความชอบ ความสะดวก
3. ผู้ตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
    ผู้ตัดสินใจเลือก คือ ผู้บริหารระดับสูง ซึ่งอาจจะมอบหมายให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ
4. กระบวนการตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ
    4.1. กำหนดวัตถุประสงค์ในการเลือกทำเลที่ตั้ง
    4.2. ระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกทำเลที่ตั้ง
           1) ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยสำคัญที่ทำเลที่ตั้งที่เป็นทางเลือกจะต้องมี
           2) ปัจจัยรอง คือ ปัจจัยที่ทำเลที่ตั้งที่เป็นทางเลือกควรมี
    4.3. กำหนดของทางเลือกเบื้องต้นของทำเลที่ตั้ง เป็นการคัดเลือกทำเลที่ตั้งโดยใช้ปัจจัยหลักเป็นเกณฑ์
    4.4. กำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ เป็นการนำผลลัพท์ในข้อ 4.3 มาคัดกรองด้วยปัจจัยรอง
    4.5. รวบรวมข้อมูลของทำเลที่ตั้งที่เป็นไปได้โดยละเอียด
    4.6. ประเมินทางเลือกและตัดสินใจเลือก เป็นการตัดสินใจเลือกโดยใช้เทคนิคการตัดสินใจ เช่น วิธีจัดลำดับปัจจัย วิธีภาระงานระยะทาง วิธีวิเคราะห์จุดคุ้มทุน

    1.3. ปัจจัยในการเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ

หลักการในการกำหนดปัจจัยในการเลือกที่ตั้งสถานประกอบการ
1. ต้องกำหนดปัจจัยให้มีความครอบถ้วน
2. ต้องกำหนดปัจจัยให้สามารถใช้งานได้
3. ต้องกำหนดปัจจัยไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน
4. ต้องกำหนดปัจจัยให้มีจำนวนไม่มากจนเกินไป

ปัจจัยที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ (ยกมาอธิบายเพียงบางปัจจัย)
1. ความใกล้แรงงาน
2. ความใกล้วัตถุดิบและชิ้นส่วน
3. ความใกล้ลูกค้า
4. การขนส่ง
5. ราคาที่ดิน และค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงที่ดิน
6. ทำเลที่ตั้งของคู่แข่ง
7. ความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค
8. สภาพแวดล้อมในการทำงาน
9. สังคมและชุมชน
10. การสนับสนุนจากรัฐบาล

    1.4. เทคนิคการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ

1. วิธีการจัดลำดับปัจจัย หรือวิธีให้คะแนนปัจจัย
    1.1. กำหนดปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจ และระบุทางเลือก
    1.2. ให้น้ำหนักความสำคัญกับแต่ละปัจจัย เป็นค่า 0.00 ถึง 1.00 โดยให้ผลรวมทุกปัจจัยไม่เกิน 1.00
    1.3. ให้คะแนนกับทางเลือกแต่ละทางเลือก จากน้อยไปมาก แทนด้วย 1 ถึง 5
    1.4. นำคะแนนมาคูณกับน้ำหนักปัจจัยแล้วหาผลรวมของทุกปัจจัยในทางเลือกนั้นๆ
    1.5. เลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากทางเลือกที่มีคะแนนรวมสูงสุด
2. วิธีภาระงาน ระยะทาง (เป็นวิธีที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยการขนส่ง) เป็นวิธีการที่เลือกทำเลที่ตั้งที่ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งรวมต่ำที่สุด มีสูตรคำนวณดังนี้

LD = 𝚺 (li di)
LD = ผลรวมภาระงานระยะทาง
li = ภาระงานระหว่างจุดต้นทางไปยังจุดปลายทาง
di =  ระยะทางจากจุดต้นทางไปยังจุดปลายทาง

ขั้นตอนในการประเมินทางเลือก
     2.1. หาภาระงานจากจุดต้นทางไปยังปลายทางของแต่ละแหล่งเป้าหมาย ซึ่งอาจเป็นจำนวนครั้งในการขนส่งไปยังแหล่งนั้นๆ ต่อเดือน หรือต่อปี
     2.2. หาระยะทางจากจุดต้นทางไปยังจุดปลายทางของแต่ละทำเล เป็นกิโลเมตร หรือเมตร
     2.3. นำภาระงานของแต่ละแหล่งคูณกับระยะทางของแต่ละทำเล แล้วหาผลรวมของทุกแหล่งในทำเลนั้นๆ
     2.4. ตัดสินใจเลือกที่ตั้งโดยพิจารณาจากผลรวมที่ต่ำที่สุด
3. วิธีวิเคราะห์จุดคุ้มทุน (ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านต้นทุน) วิธีนี้ผู้วิเคราะห์จะต้องแยประเภทต้นทุนออกเป็นต้นทุนคงที่ และต้นทุนผันแปรได้ มีสูตรดังนี้

Break Event Point = Fixed Cost/(Revenue per Unit - Variable cost per Unit)

ขั้นตอนในการประเินทางเลือกสามารถทำได้ดังนี้
     3.1. รวบรวมข้อมูลด้านต้นทุนในแต่ละทำเล
     3.2. คำนวณจุดคุ้มทุนในแต่ละทำเลที่เป็นทางเลือก
     3.3. จัดสินใจเลือกทำเลที่มีจุดคุ้มทุนต่ำที่สุด

2. การวางผังสถานประกอบการ

    2.1. แนวคิดเกี่ยวกับการวางผังสถานประกอบการ

1. ความหมายของการวางผังสถานประกอบการ
    การวางผังสถานประกอบการ คือ การจัดเตรียม หรือการจัดการสถานที่ในการวางเครื่องจักร แผนกงาน สถานีงาน พื้นที่จัดเก็บ ทางเดิน และพื้นที่ทั่วไปอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ความรวดเร็วในการผลิตสินค้าและบริการ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงแบบ และสามารถสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
2. ความสำคัญของการวางผังสถานประกอบการ
    2.1. ทำให้ทราบถึงต้นทุนในการก่อสร้าง และต้นทุนในการซื้ออุปกรณ์
    2.2. ทำให้สามารถตรวจสอบแก้ไขข้อผิดพลาดในผังได้ ก่อนนำไปลงมือปฏิบัติจริง
    2.3. ทำให้สามารถประเมินข้อมูลต้นทุนการดำเนินงาน และประสิทธิภาพการดำเนินงานได้
3. วัตถุประสงค์ของการวางผังสถานประกอบการ
    3.1. เพื่อเพิ่มการใช้งานของพื้นที่ เครื่องจักร และคนงาน
    3.2. เพื่อปรับปรุงการไหลของสารสนเทศ วัตถุดิบ และคนงาน
    3.3. เพื่อเพิ่มขวัญ กำลังใจ และสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
    3.4. เพื่อพัฒนาปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับกิจการ (เพิ่มความรวดเร็วในการบริการลูกค้า)
    3.5. เพื่อทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลง
4. ประโยชน์ของการวางผังสถานประกอบการ
    4.1. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนถ่ายวัสดุ
    4.2. ช่วยให้ใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
    4.3. ช่วยให้ใช้ประโยชน์จากแรงงานที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ
    4.4. ช่วยขจัดปัญหาคอขวด
    4.5. ช่วยให้สะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงาน และพนักงาน
    4.6. ช่วยลดรอบเวลาการผลิต หรือเวลาในการให้บริการลูกค้า
    4.7. ช่วยให้การจัดวางวัสดุ สินค้า และคนงานเป็นไปอย่างสะดวก
    4.8. ช่วยให้เกิดความปลอดภัย และมั่นคงในการทำงาน
    4.9. ช่วยทำให้ผลิตสินค้า และบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    4.10. ช่วยกระตุ้นให้มีกิจกรรมการบำรุงรักษาที่เหมาะสม
    4.11. ช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในการดำเนินงาน
5. ปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาในการวางผังสถานประกอบการ
    5.1. การไหลของงาน ออกแบบให้เหมาะสมกับการไหลของงาน
    5.2. อุปกรณ์การขนถ่ายวัสดุ ออกแบบให้สอดคล้องกับอุปกรณ์ขนถ่ายที่มี
    5.3. กำลังการผลิต และพื้นที่ที่ต้องการ 
    5.4. สภาพแวดล้อมและการตกแต่งสถานที่
    5.5. การไหลของสาระสนเทศ
    5.6. ต้นทุนการเคลื่อนย้ายระหว่างพื้นที่ทำงาน
6. หลักในการวางผังสถนานประกอบการ
    6.1. ต้องมีความคล่องตัวในการประสานงาน
    6.2. ต้องมีการเคลื่อนย้ายที่น้อยที่สุด
    6.3. ต้องสามารถควบคุมการติดตามได้ง่าย
    6.4. ต้องมีการไหลของวัสดุอย่างต่อเนื่อง
    6.5. ต้องมีการใช้พื้นที่อย่างมีประสทธิภาพ
    6.6. ต้องมีความพึงพอใจ และความปลอดภัย
    6.7. ต้องมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง

    2.2. การวางผังสถานประกอบการแบบพื้นฐาน

1. การวางผังตามผลิตภัณฑ์ 
เรียกอีกอย่างว่า ผังตามสายการผลิต ผังตามสายการประกอบ เป็นผังของการผลิตที่ต่อเนื่อง เป็นการผลิตสินค้าสำเร็จรูปที่ต้องการผลิตในจำนวนมาก และมีรปแบบเดียวกันทั้งหมด ผังการผลิตมักจะว่าเครื่องจักรการผลิตไว้ประจำที่ ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ และเคลื่อนผลิตภัณฑ์ ไปตามจุดต่างๆ ของการผลิตด้วยสายพานลำเลียง วงจรการผลิตหนึ่งมักผลิตสินค้าได้เพียงชนิดเดียว 2. การวางผังตามกระบวนการ
อาจเรียกว่าผังตามหน้าที่ เป็นการวางผังที่จัดกลุ่มเครื่องจักรที่มีหน้าที่เหมือนกันไว้ในแผนกเดียวกัน เช่น เครื่องพ่นสีก็จัดไว้ในแผนกพ่นสี เครื่องเคลือบก็จัดไว้ในแผนกเคลือบชิ้นงาน ซึ่งการวางผักแบบนี้จะรองรับการผลิตที่ค้าที่แตกต่างกันได้หลายชนิด
3. การวางผังแบบผลิตอยู่กับที่
เป็นการวางผังของการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น การสร้างตึก สร้างเรือ สร้างเครื่องบิน เป็นต้น โดยจะต้องเคลื่อนที่วัสดุการผลิตเข้ามาในพื้นที่ของผลิตภัณฑ์


    2.3. การวางผังสถานประกอบการแบบผสมผสาน

1. การวางผังแบบเซลล์การผลิต
เป็นการวางผังตามสายผลิตภัณฑ์ เพียงแต่ไม่มีสายพานลำเลียง แต่ละจุดของสายการผลิตจะประกอบไปด้วยเซลล์เครื่องจักร ซึ่งมีกลุ่มเครื่องจักรที่ทำหน้าที่ผลิตชิ้นงานที่คล้ายคลึงกัน
2. การวางผังสำนักงาน
จะเน้นการไหลของสารสนเทศ เพราะฉะนั้นจึงจะให้ความสำคัญกับการอยู่ใกล้กันระหว่างแผนกที่มีการติดต่อการทางสารสนเทศจากมากไปหาน้อย
3. การวางผังร้านค้าปลีก
จะเป็นการจัดผังโดยคำนึงถึงยอดขายและกำไรเป็นสำคัญ กล่าวคือ จัดวางสินค้าที่มีการหมุนเวียนสูงไว้ในบริเวณพื้นที่รอบๆ ร้าน จัดวางสินค้าสะดวกซื้อไว้ในที่สะดุดตา จัดวางสินค้าที่เป็นที่สนใจไว้สองข้างของแถวชั้นวาง จัดวางสินค้าที่เป็นการดำเนินงานหลักของร้านไว้ในพื้นที่โดดเด่น นอกจากนี้ยังคำนึงถึงสภาพภูมิทัศน์โดยมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
     3.1. สภาวะแวดล้อมดี
     3.2. ความกว้างขวาง และการใช้งานสะดวก
     3.3. เครื่องหมาย แสดงสัญลักษณ์ และวัสดุประกอบอื่นๆ มองเห็นได้ง่าย
4. การวางผังคลังสินค้า
จะคำนึงถึงต้นทุนการขนถายวัสดุเป็นหลัก โดยจะจัดให้สินค้าที่มีการหมุนเวียนสูงอยู่ด้านนอก หมุนเวียนต่ำอยู่ด้านใน และสินค้าที่มักถูกสั่งพร้อมกันวางไว้ใกล้กัน เป็นต้น

    2.4. เทคนิคการวางผังสถานประกอบการ

1. วิธีการวางผังตามผลิตภัณฑ์
สิ่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาในการวางผังตามผลิตภัณฑ์ ก็คือ ความสมดุลของสายการผลิต การจัดสมดุลสายการผลิต คือ การมอบหมายงานให้แก่สถานีงานโดยที่แต่ละงานที่มอบหมายให้สถานีงานใดๆ จะต้องไม่เกิน รอบเวลาการผลิต (ถูกกำหนดโดยคอขวดของสายการผลิตซึ่งก็คือ สถานีงานที่ใช้เวลามากที่สุด) และมีเวลาว่างของแต่ละสถานีงานที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขั้นตอนการจัดสมดุลสายการผลิตมีดังนี้
      1.1. ศึกษากระบวนการผลิตว่าประกอบด้วยกิจกรรมอะไรบ้างโดยใช้แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ก่อนหลัง
      1.2. คำนวณรอบเวลาการผลิตทางทฤษฎีโดยใช้สูตร Ct = (เวลาการผลิตต่อวัน)/(ผลผลิตต่อวัน) เช่น ในหนึ่งวันมีเวลาทำงานทั้งหมด 8 ชั่วโมง ซึ่งได้ผลผลิตเท่ากับ 96 ชิ้น ดังนั้นรอบเวลาการผลิตทางทฤษฎีจะเท่ากับ 8/96 = 0.083 ชั่วโมงต่อชิ้น หรือ คิดเป็น 5 นาทีต่อชิ้น
      1.3. คำนวณจำนวนสถานีงานต่ำสุดทางทฤษฎี ภายใต้ข้อจำกัดของรอบเวลาการผลิต โดยใช้สูตร Nt = (เวลารวมของทุกงาน)/(รอบเวลาการผลิต) เช่น การผลิตสินค้าหนึ่งชิ้น ต้องผ่านการทำงานทั้งหมด 9 งาน ซึ่งทั้งเก้างานนี้ใช้เวลารวม 18 นาที ใช้เวลาเวลาการผลิตที่คำนวณไว้ในข้อ 1.2. จะได้ว่า ควรจัดตั้งสถานีงานทั้งหมด 18/5 = 3.6 หรือ 4 สถานี
      1.4. กำหนดกฎเกณฑ์หลัก และกฎเกณฑ์รองที่จะใช้จัดสมดุลสายการผลิต
      1.5. มอบหมายงานตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยมอบหมายไปทีละงาน ตั้งแต่สถานีงานที่ 1 จนกระทั้งเวลาของงานเท่ากับรอบเวลาการผลิตหรือถ้าเวลาของงานเกิดรอบเวลาการผลิต ก็ให้โอนงานนั้นไปยังสถานีถัดไป ทำจนครบทุกงาน
      1.6. ประเมินประสิทธิภาพของสายการผลิตโดยใช้สูตร ประสิทธิภาพสายการผลิต(%) = [(เวลรวมของทุกงาน)/(จำนวนสถานีงานที่ใช้จริง)(รอบเวลาการผลิต)] x 100
      1.7. ถ้าประสิทธิภาพไม่น่าพอใจอาจจัดสมดุลสายการผลิตใหม่โดยใช้เกณฑ์อื่นต่อไป
2. วิธีการวางผังตามกระบวนการ
     เป็นการวางผังที่มีจุดประสงค์เพื่อลดต้นทุนการขนถ่ายวัสดุให้ต่ำที่สุด วิธีการในการวางผังตามกระบวนการนี้มีอยู่ 2 วิธี คือ
    2.1. วิธีแผนภาพความสัมพันธ์ เป็นการเขียนแผนภาพความสัมพันธ์ของแผนกการผลิตทั้งก่อนและหลังปรับปรุง ซึ่งแผนภาพจะถูกโยงด้วยเส้นที่บอกระดับความสัมพันธ์
    2.2. วิธีต้นทุนการขนถ่ายวัสดุต่ำที่สุด เป็นการนำข้อมูลเชิงปริมาณมาจัดการปรับปรุงผังความสัมพันธ์

___________________ จบ___________________________

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการผลิตและดำเนินงาน และหลักการตลาด

การพยากรณ์ การวางแผน และการควบคุมการผลิตและการดำเนินงาน